top of page

เครียดมากๆ ทำอย่างไรดี?

เครียดหนัก…จะไปพบจิตแพทย์ดีหรือโค้ชดีนะ?


เครียดหนัก…จะไปหาจิตแพทย์ดีหรือโค้ชดี?
เครียดหนัก…จะไปหาจิตแพทย์ดีหรือโค้ชดี?

ในช่วงนี้หลายคนอาจรู้สึกว่า “เหนื่อยเหลือเกิน” หรือ “หนักหนาสาหัส” บางคนอาจเหนื่อยกับงาน บางคนเหนื่อยกับปัญหาชีวิต และอีกหลายคน…เหนื่อยกับตัวเอง เมื่อความเครียดเริ่มสะสม ความรู้สึกท้อแท้ก็อาจเกิดขึ้น คำถามที่มักผุดขึ้นในใจคือ “ควรไปพบจิตแพทย์ หรือหาโค้ชดี?” บทความนี้อาจมีคำตอบให้กับคุณ


จิตแพทย์คืออะไร?

จิตแพทย์เป็นแพทย์เฉพาะทางที่มีใบอนุญาตในการวินิจฉัยและรักษาโรคทางจิตเวช เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ไบโพลาร์ หรือ PTSD หากคุณมีอาการที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ฟุ้งซ่าน หรือหมดแรงจูงใจ การพบจิตแพทย์เป็นทางเลือกที่สำคัญและปลอดภัยที่สุด


โค้ชคืออะไร?

โค้ชไม่ได้เป็นแพทย์ แต่เป็นเพื่อนร่วมทางที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคุณ โค้ชตามมาตรฐานของ ICF จะไม่วินิจฉัยหรือให้คำแนะนำ แต่จะใช้การตั้งคำถามที่ทรงพลัง รวมถึงกระบวนการฟังอย่างลึกซึ้งและสะท้อนกลับ เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นทางออกในตัวเอง และสร้างเป้าหมายที่เป็นไปได้ในชีวิต พร้อมก้าวเดินต่อไปด้วยพลังจากภายในตัวเอง


 แล้ว “โค้ช” กับ “จิตแพทย์” เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?


แม้โค้ชและจิตแพทย์จะมีบทบาทต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ต่างก็มีหัวใจในการช่วยให้คนที่กำลังเผชิญความท้าทายได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอีกครั้ง ทั้งคู่ให้พื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย และรับฟังอย่างลึกซึ้งด้วยความเคารพ


จิตแพทย์ จะมีบทบาทชัดเจนในด้านการรักษา วินิจฉัย และจ่ายยา หากคุณมีภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง อารมณ์แปรปรวน หรือลักษณะอาการที่ส่งผลต่อสมองและเคมีในร่างกาย การพบจิตแพทย์ถือเป็นสิ่งจำเป็น


โค้ช ในทางกลับกัน ไม่ได้มีบทบาทในการรักษา แต่เหมาะกับผู้ที่ พร้อมจะก้าวเดินต่อและต้องการพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเป้าหมาย ความสัมพันธ์ ความมั่นใจ การตัดสินใจ หรือการค้นหาความหมายในชีวิต


กล่าวให้ชัดคือ


จิตแพทย์ช่วยพยุงใจที่เจ็บป่วย

โค้ชช่วยปลุกพลังใจที่อยากเปลี่ยนแปลงและเติบโต


โค้ชตามคำนิยามของ International Coaching Federation (ICF)


การโค้ช คือ การทำงานร่วมกันกับลูกค้าในกระบวนการที่กระตุ้นความคิดและสร้างสรรค์

ซึ่งบันดาลใจให้พวกเขาใช้ศักยภาพสูงสุดทั้งในด้านส่วนตัวและการงาน


Coaching is partnering with clients in


a thought-provoking and


creative process that inspires them


to maximize their


personal and professional potential.



แล้วควรเลือกทำงานกับใคร?


สัญญาอาการที่บ่งบอกว่า ควรพบจิตแพทย์


  1. มีความวิตกกังวล ไม่สบายใจ

  2. นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร มีความเครียด

  3. อาการคล้ายชักกระตุก คล้ายอัมพาต หรือเหมือน ผีเข้า

  4. กลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ

  5. ย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอ

  6. เศร้าโศก เสียใจ คิดฆ่าตัวตาย

  7. อ่อนเพลีย ไม่มีแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

  8. เหนื่อยหน่าย ท้อแท้

  9. เพ้อคลั่ง เอะอะอาละวาด พูดเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน

  10. หลงผิด หวาดระแวง มีหูแว่ว เห็นภาพแปลกๆ

  11. เฉยเมย แยกตัวเอง ไม่ค่อยพูด ซึมเศร้า ฯลฯ

  12. ติดสารเสพติด สุรา ยาบ้า

  13. มีปัญหาด้านความจำหลงลืม


*ข้อมูลจาก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


ลองตอบคำถามเหล่านี้เพื่อตรวจสอบเบื้องต้นดูว่าคุณใช่หรือไม่กับการทำงานร่วมกันกับ "โค้ช"?


  1. ต้องการคนฟังอย่างเข้าใจโดยไม่มีการตัดสิน

  2. รู้สึกติดขัดในเรื่องงาน ชีวิต หรือความสัมพันธ์ และอยากหาทางเลือกใหม่

  3. มีเป้าหมายแต่ยังไม่มั่นใจ กลัวหรือกังวล ไม่กล้าก้าวออกจากจุดเดิม

  4. ต้องการพื้นที่ปลอดภัยและการรักษาความลับอย่างแท้จริง

  5. อยากได้ทางเลือกใหม่ที่ไม่ได้มาจากคำแนะนำจากผู้อื่น


หากคำตอบของคุณยังไม่เข้าข่ายอาการที่มีความจำเป็นที่จะต้องพบจิตแพทย์ แต่ต้องการที่จะค้นพบเป้าหมายใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ เพื่อให้ชีวิตก้าวต่อไปข้างหน้าได้ โค้ชเป็นแนวทางที่ดีที่จะช่วยคุณได้


สรุปคือ โค้ชไม่ได้เป็นหมอด้านจิตใจ

แต่สามารถช่วยให้คุณไม่ลืมศักยภาพในตัวเอง

ที่บางครั้งอาจถูกปัญหารุมเร้าจนลืมไป ในวันที่โลกวุ่นวายและจิตใจเหนื่อยล้า

การมีใครสักคนที่นั่งฟังเราอย่างตั้งใจ ไม่ใช่เพื่อตัดสินเรา แต่เพื่อให้เรามีความมั่นใจ

และเชื่อมั่นในตนเอง นั่นคือ “โค้ช” มืออาชีพอย่างแท้จริง


แล้ว “โค้ชไอซีเอฟ” คือใคร? ทำไมจึงน่าเชื่อถือ?


โค้ชที่ได้รับการรับรองจาก ICF (International Coaching Federation) 

คือโค้ชที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานระดับโลก และมีจรรยาบรรณในการทำงานที่เข้มงวด เพื่อให้คุณมั่นใจว่าได้รับบริการจากมืออาชีพอย่างแท้จริง


โค้ช ICF มีหลักในการทำงานโดยยึดถือตามจริยธรรมการโค้ชและสมรรถนะการโค้ชตามมาตรฐาน ICF โดยมีหลักในการทำงานร่วมกับลูกค้าบางส่วน ได้แก่:


  1. การรักษาความลับข้อมูลใดๆ ที่พูดคุยกันในกระบวนการโค้ชจะถูกเก็บไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด โค้ชจะไม่เปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้า ยกเว้นในกรณีที่มีข้อกฎหมายเกี่ยวข้อง


  2. ความเป็นมืออาชีพและไร้อคติโค้ช ICF ต้องรับฟังโดยปราศจากการตัดสิน หรือแทรกแซงด้วยความเชื่อส่วนตัว แต่จะใช้ทักษะการตั้งคำถาม การฟังลึก และการสะท้อนกลับเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าเห็นทางเลือกของตัวเอง


  3. ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางกระบวนการโค้ชจะไม่ใช่การให้คำแนะนำ แต่เป็นการ สร้างพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คุณเชื่อมโยงกับศักยภาพภายใน และเดินไปสู่เป้าหมายที่คุณเป็นผู้กำหนดเอง


หากคุณกำลังอยู่ในจุดที่ต้องการความชัดเจนในชีวิต ต้องการเสียงสะท้อนอย่างมืออาชีพ โดยที่คุณยังไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องถูกวินิจฉัย แต่ต้องการ “ใครสักคน” ที่จะอยู่ข้างคุณในเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง—โค้ช ICF อาจเป็นคำตอบที่ใช่ สำหรับคุณในเวลานี้


คุณไม่จำเป็นต้องเดินคนเดียวเสมอไปเพราะแม้หนทางจะเป็นของคุณ แต่โค้ชจะอยู่เคียงข้างเสมอ

หากคุณพร้อมจะเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิต การทำงานร่วมกันกับโค้ชไอซีเอฟก็เป็นอีกแนวทางที่จะช่วยให้คุณพบศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง และพบกับมุมมองใหม่ๆ ที่จะช่วยให้คุณค้นพบกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิตได้


บทความโดย โค้ชอภัยพร ศรีสุข(โค้ชน้อง) นักเขียนโค้ชจิตอาสา

บรรรณาธิการบทความ โค้ชหงส์หยก ฉิมพันธ์, ACC, ประธานสหพันธ์โค้ชนานาชาติ สาขากรุงเทพฯ


ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ICF Code of Ethics และ ICF Core Competencies ได้ที่

สมรรถนะหลักของโค้ชไอซีเอฟ (ภาษาไทย) https://www.icfbangkok.com/icf-compliance

หลักจริยธรรมของ ICF ฉบับเดิม (ภาษาไทย) https://www.icfbangkok.com/icf-code-of-ethics

สมรรถนะหลักของโค้ชไอซีเอฟ (ภาษาอังกฤษ) https://coachingfederation.org/credentialing/coaching-competencies/icf-core-competencies/

หลักจริยธรรมของ ICF ฉบับปรับปรุงใหม่ (ภาษาอังกฤษ) https://coachingfederation.org/?s=icf+code+of+ethics





 
 
 

Comments


bottom of page